แพทย์แผนจีน

การกดจุดบำบัด

การกดจุด เป็นศาสตร์ที่มีกำเนิดมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นเวลา 4,000 ปี ซึ่งโดยหลักการร่างการของเรามีจุดลมปราณเป็นร้อย ๆ จุดเชื่อมกันเป็นสาย มีผลสะท้อนถึงพลังในร่างกาย เส้นประสาทการไหลเวียนของเลือด การทำงานของของอวัยวะภายในและต่อมน้ำเหลืองต่าง ๆ ในร่างกาย การกดจุด หมายถึง การใช้นิ้วมือกด ซึ่งตรงกับภาษาว่า Finger Pressure คือ การกดสัมผัสด้วยนิ้วมือ ไม่ใช่การนวด ซึ่งการนวดหมายถึงการใช้นิ้วทั้ง 5 รวมทั้งอุ้งมือ ฝ่ามือ ถูคลึงตามร่างกาย และโดยทั่วไปการนวดมักต้องทายาหรือทาครีมนวดตัว แต่การกดสัมผัสไม่ต้องทายาใด ๆ

7 จุดบำบัดโรค

  1. วิธีการกดจุดแก้อาการสะอึก ตำแหน่ง : หัวคิ้วทั้งสองข้าง เวลาที่ใช้ : กด 3-6 นาที พร้อมกับหายใจเข้าออกลึก พอหยสะอึกจึงหยุดกด
  2. วิธีการกดจุดแก้อาการนอนไม่หลับ ชื่อจุด : จุดเสินเหมิน ตำแหน่ง : ด้านในของรอยพับข้อมือ บริเวณฝ่ามือฝั่งนิ้วก้อย ตรงรอยบุ๋มพอดี เวลาที่กด : กดและคลึง ประมาณ 3-5 นาที
  3. วิธีการกดจุดแก้อาการแน่นท้อง ชื่อจุด : จุดจู๋ซานหลี่ ตำแหน่ง : อยู่ใต้สะบ้าหัวเข่าลงไปประมาณ 4 นิ้วมือ ข้างกระดูกหน้าแข้งด้านนอก เวลาที่กด : กดจุดทั้ง 2 ข้าง ประมาณ 3-5 นาที
  4. วิธีการกดจุดแก้อาการปวดน่อง ชื่อจุด : จุดเหว่ยจง ตำแหน่ง : กึ่งกลางของรอยพับเข่าด้านหลัง เวลาที่กด : กดและคลึง ประมาณ 3-5 นาที
  5. วิธีการกดจุดแก้อาการปวดหัว ชื่อจุด : จุดเฟิงฉือ ตำแหน่ง : รอยบุ๋มตรงท้ายทอยแนวเดียวกับกกหู เวลาที่กด : กดและคลึง ประมาณ 2-3 นาที หรือจนอาการดีขึ้น
  6. วิธีการกดจุดแก้เป็นลม ชื่อจุด : จุดเหรินจง ตำแหน่ง : บริเวณร่องใต้จมูก แบ่งร่องออกเป็น 3 ส่วน จุดเหรินจงจะอยู่ห่างลงมาจากจมูก 1 ส่วน 3 หรืออยู่เหนือริมฝีปาก 2 ส่วน 3 เวลาที่กด : กดและคลึงสักพัก ผู้ป่วยจะค่อย ๆ รู้สึกตัว
  7. วิธีการกดจุดแก้เมารถเมาเรือ ชื่อจุด : จุดเน่ยกวน ตำแหน่ง : อยู่ห่างไกลจากเส้นข้อมือระหว่างเอ็นทั้งสองโดยห่างจากเส้นข้อมือประมาณ 3 นิ้วมือ เวลาที่กด : กด 2-3 นาที หรือจนอาการดีขึ้น การกดจุดนั้นไม่ยากสามารถทำเองได้ แต่การกดจุดนั้น เป็นเพียงการบรรเทาอาการได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง การที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ให้ลดลงได้นั้น จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์แผนจีนและได้รับการรักษาควบคู่กันไป

ประวัติย่อของการแพทย์แผนจีน

การแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการศึกษา ละสั่งสมภูมิปัญญาของชาวจีนเป็นระยะเวลานับพันผี ซึ่งศาสตร์การแพทย์จีนนั้นครอบคลุมถึงการตรวจวินิจฉัยจากกลุ่มอาการของโรค ว่าด้วยการรักษาโดยใช้สมุนไพรจีน ฝังเข็ม รมยา การนวดแบบแพทยืแผนจีน (ทุยหนา) และหลักการป้องกัน นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากมายต่อการรักษาสุขภาพ การฝังเข็ม คือ

การใช้เข็มแทงลงไปบนจุดฝังตามร่างกาย ขณะที่เข็มผ่านผิวหนังจะมีอาการเจ็บอยู่บ้าง อาจจะอาการปวดตื้อ ๆ หรือปวดหน่วง ๆ หรือปวดร้าวไปตามทางเดินของเส้นประสาทลมปราณ โดยเข็มที่ใช้เป็นเข็มใหม่ ใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นและจะไม่นำกลับมาใช้อีก ผลที่ได้รับจากการฝังเข็ม
  1. ปรับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมดุล
  2. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทั้งบริเวณเฉพาะที่และทั่วร่างกาย
  3. กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท เช่น เอ็นโดฟิน ที่มีฤทธิ์ลดอาการปวด
  4. กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน เช่น ACTH และฮอร์โมนคอร์ติโคสเตียรอยด์ ที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ
  5. ปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
โรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการฝังเข็ม
  1. กลุ่มอาการปวด เช่น ปวดคอ ปวดหัวไหล่ ข้อศอก กระดูกสันหลัง เอว การปวดของเส้นประสาทสะโพก หัวเข่า และโรคปวดเรื้องรังต่าง ๆ
  2. อัมพฤกษ์ อัมพาต และผลข้างเคียงหลังจากการป่วยด้วยโรคทางสมอง เช่น เส้นโลหิตในสมองแตก ตีบ หรือตัน
  3. อัมพาตใบหนา ปวดเส้นประสาทบนใบหน้า
  4. ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน
  5. โรคภูมิแพ้ หวัดเรื้อรัง และหอบหืด
  6. โรคเครียด นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า
  7. โรคระบบประสาทต่าง ๆ เช่นอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน (ระยะเริ่มต้น)
  8. โรคประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน หูดับ หูอื้อ
  9. โรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น กระเพราอาหารอักเสบ
  10. ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาผิดปกติ
  11. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ วัยทองทั้งหญิงและชาย
  12. โรคทางผิวหนัง เช่น สิว ฝ้า ผมร่วง ผื่นคันต่าง ๆ
  13. ลดความอ้วน
  14. โรคต่าง ๆ ที่แพทย์จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป
ข้อแนะนำในการฝังเข็ม
  1. รับประทานอาหารตามปกติก่อนฝังเข็มทุกครั้ง
  2. พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ
  3. ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป ควรสวมเสื้อแขนสั้น สวมกางเกงหลวม ๆ และสามารถรูดขึ้นได้เหนือเข่า
  4. การฝังเข็มใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
ข้อควรระวัง
  1. ในขณะฝังเข็มไม่ควรขยับเขยื้อนร่างกาย
ข้อห้ามในการฝังเข็ม
  1. สตรีมีครรภ์
  2. โรคมะเร็ง (ที่ยังไม่ได้รับการรักษา)
  3. โรคเลือดที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวเลือด
การครอบแก้ว

การครอบแก้ว คือ วธีการรักษาตามตำรับแพทย์แผนโบราณซึ่งใช้แก้วครอบลงบนผิว จากนั้นจึงลดความดันภายใน โดยการใช้ความร้อนหรือการดูดอากาศออก จนผิวหนังและกล้ามเนื้อถูกดูดเข้าไปในแก้ว แก้วอาจถูกครอบนานประมาณ 5-10 นาที เมื่อเอาแก้วที่ครอบออกผิวจะแดงซ้ำ นั่นคือการทำให้เลือดคั่งเป็นการรักษาโรค และแม้ว่าผิวหนังบริเวณที่ถูกครอบแก้วจะมีสีน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่เห็น และรอยซ้ำจากการครอบแก้วสามารถหายได้เองภายใน 3-10 วัน ครอบแก้วทำอย่างไร

ในการรักษาโดยการครอบแก้วแพทย์จะเป็ฯผู้กำหนดว่า จะใช้วิธีใดจึงจะเหมาะสมซึ่งอาจยกตัวอย่างการคอบแก้วได้ดังนี้
  1. การครอบแก้ว (หลิวก้วน)
  2. การวิ่งแก้ว (โจ่วก้วน)
  3. แก้วกระพริบ (ส่านก้วน)
การครอบแก้วรักษาโรคได้อย่างไร

ตามตำราจีนเชื่อกันว่าในร่างกายเรามีพลังซี่ (Qi) เมื่อยามเจ็บป่วย เส้นลมปราณ ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงของซี่และเลือดที่มีเครือข่ายกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกายจะขาดความสมดุล เช่น เส้นลมปราณอุดตันมีผลทำให้ซี่และเลือดไหลเวียนไม่สะดวกจนเกิดความเจ็บป่วยขึ้น ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการดำเนินชีวิตและพิษจากภายในภายนอก

ประโยชน์จากการครอบแก้ว

การครอบแก้วมีสรรพคุณเพื่ออุ่นกระตุ้น การไหลเวียนของเลือดและลมปราณ ขจัดความเย็นขึ้นบรรเทาอาการปวดบวมในทางคลินิกส่วนใหญ่ จะจะใช้กลุ่มปี้เจิ้ง เช่น ปวดเอว ปวดไหล่ ปวดขา นอกจากนี้ยังใช้กลุ่มโรคทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้องอาเจียนถ่ายเหลว รวมถึงโรคของปอด เช่น หอบหืด เป็นต้น

โรคต่างๆ ที่สามารถรักษาด้วยการครอบแก้ว
  1. กลุ่มอาการปวด เช่น ปวดคอ ปวดหัวไหล่ ข้อศอก กระดูกสันหลัง เอว การปวดของเส้นประสาทสะโพก หัวเข่า และโรคปวดเรื้องรังต่าง ๆ
  2. ไหล่ติด
  3. ภูมิแพ้
  4. นอนไม่หลับ
  5. สิว
  6. ลดความอ้วน
  7. โรคต่าง ๆ ที่แพทย์จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป

สีของการครอบแก้วบอกอะไร
  • สีม่วงคล้ำ : เลือดคลั่ง, ความเย็นประคบ
  • สีม่วงปนจุดจ้ำเลือด : การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก
  • จุดจ้ำเลือดไม่สม่ำเสมอ : ลมขึ้น
  • สีแดงสด, บริเวณนั้นร้อน : หยางแกร่ง, ร้อนแกร่ง, อาการเกิน
  • สีแดงคล้ำ : ไขมันในเลือดสูง, ไขมันในเลือดข้น
  • จ้ำเลือดหรือแผลพุพองสีเทาหรือสีซีด : เย็นพร่อง, ความชื้น
  • ผิวหนังเกิดอาการคัน : ลม, ความชื้น
  • ตุ่มน้ำ, บวมน้ำ, เปียกชื้น : ความเย็น, ความชื้น
  • ในแก้วมีไอน้ำ : ความเย็น, ความชื้น
  • ม่วงแดง, แดงคล้ำ : หยินแกร่ง, ความเย็น, เลือดคลั่ง
  • แดงระเรื่อ, แดงซีด : กลุ่มอาการพร่อง
  • บริเวณที่ถูกครอบแก้วฟื้นฟูได้เร็ว : อาการดีขึ้น
  • ลิ้นบอกโรคตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน
ลิ้นปกติ

การดูลิ้นเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคจชตามศาสตร์แพทย์แผนจีน โดนจะดูจากความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะภายใน เมื่ออวัยวะภายใน เมื่ออวัยวะภายในผิดปกติจะสะท้อนออกมาให้เห็นบนลิ้น ภาพความสัมพันธ์ระหว่างลิ้นกับอวัยวะภายใน

  • โคนลิ้น ไต (กระเพาะปัสสาวะ)
  • กลางลิ้น ม้าม (กระเพาะอาหาร)
  • ข้างลิ้น ตับ (ถุงน้ำดี)
  • ปลายลิ้น หัวใจ (ปอด)
การดูสีลิ้น
  • ลิ้นสีแดงอ่อน มักพบในคนปกติ หรือป่วยไม่รุนแรง
  • สิ้นสีขาวซีด พลัง(ซี่) และเลือดพร่องหรือยางพร่อง มักเป็นโรคที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น โลหิตจาง
  • ลิ้นสีแดง, สีแดงเข้ม มีความร้อนอยู่ในร่างกายบอกถึงความร้อนแกร่ง, หยินพร่องเกิดไฟมักเกิดจากการเป็นไข้ตัวร้อน โรคติดเชื้อ การสูญเสียของเหลวในร่างกาย
แพทย์แผนจีน